สาระน่ารู้ สุขภาพ ทำอย่างไร เมื่อมีภาวะความนับถือตนเองต่ำ

สาระน่ารู้ สุขภาพ

หัวข้อแนะนำ

สาระน่ารู้ สุขภาพ  ความนับถือตนเอง คือ ความรู้สึกที่มีต่อตนเอง ว่าตนเองมีคุณค่า มีความสามารถ และเป็นที่รักภาวะความนับถือตนเองต่ำ หมายถึง ความรู้สึกลบต่อตนเอง คิดว่าตนเองไม่มีคุณค่า ไม่มีความสามารถ และไม่น่าเป็นที่รัก ภาวะนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ประสบการณ์ในวัยเด็ก ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เหตุการณ์ในชีวิต หรือความผิดปกติทางจิตใจภาวะความนับถือตนเองต่ำอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในด้านต่างๆ เช่น การทำงาน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และสุขภาพจิต ผู้ที่ภาวะความนับถือตนเองต่ำอาจรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่กล้าแสดงออก หลีกเลี่ยงการเข้าสังคม รู้สึกโดดเดี่ยว ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล

หากพบว่าตนเองมีภาวะความนับถือตนเองต่ำ สามารถดูแลตัวเองได้ ดังนี้

1. สำรวจความคิดและความรู้สึกของตนเอง สาระน่ารู้ สุขภาพ

ขั้นแรก สำรวจความคิดและความรู้สึกของตนเองเกี่ยวกับตนเอง ว่าคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร บ่อยครั้งเรามักมีความคิดและความรู้สึกเชิงลบต่อตนเองโดยไม่รู้ตัว การสำรวจความคิดและความรู้สึกของตนเองจะช่วยให้เราเข้าใจสาเหตุของภาวะความนับถือตนเองต่ำ และเริ่มหาแนวทางแก้ไข

2. ปรับเปลี่ยนความคิดเชิงลบ

เมื่อเราเข้าใจสาเหตุของภาวะความนับถือตนเองต่ำแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการปรับเปลี่ยนความคิดเชิงลบ เปลี่ยนมุมมองให้มองตนเองในแง่บวกมากขึ้น ยอมรับข้อดีและข้อเสียของตนเอง มองความผิดพลาดเป็นบทเรียน แทนที่จะตำหนิตนเอง

3. ตั้งเป้าหมายและลงมือทำ

การตั้งเป้าหมายและลงมือทำจะช่วยให้เรามองเห็นความสามารถของตนเอง รู้สึกภาคภูมิใจในตนเองมากขึ้น เลือกเป้าหมายที่ท้าทายแต่ทำได้จริง ค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้นอย่างมั่นคง

4. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น

การได้รับความรักและการสนับสนุนจากผู้อื่น จะช่วยให้เรารู้สึกดีกับตนเองมากขึ้น เลือกคบหากับคนที่เข้าใจและสนับสนุนเรา หลีกเลี่ยงการอยู่กับคนที่ทำให้รู้สึกแย่กับตนเอง

5. ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

หากภาวะความนับถือตนเองต่ำส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตมาก แนะนำให้ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยา หรือนักจิตบำบัด ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้เราเข้าใจและจัดการกับภาวะความนับถือตนเองต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภาวะความนับถือตนเองต่ำเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ เริ่มต้นจากการสำรวจความคิดและความรู้สึกของตนเอง ปรับเปลี่ยนความคิดเชิงลบ ตั้งเป้าหมายและลงมือทำ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น และขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ หากเรามีความพยายามและอดทน จะสามารถพัฒนาความนับถือตนเองให้ดีขึ้นได้

ผู้นำภาวะความเป็นผู้นำระดับต่ำอาจทำได้เช่น

  • ทำงานได้อย่างเต็มที่ไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง กลัวทำผิดพลาดไม่อยากเชื่องานที่ได้รับ
  • การขาดความสำนึกในบางครั้งทำให้เบื่อหน่ายไม่มีเลยที่จะไม่พัฒนาตนเอง
  • มีปัญหาในเรื่องที่ผู้อื่นมักจะไม่มั่นใจในตนเอง กลัวถูกปฏิเสธหรือถูกกลั่นแกล้งจากผู้อื่น
  • เครียดกังวลเรื่องงานตลอดเวลา กลัวทำผิดพลาดส่งผลให้ลดลง

โรคร้าย ที่มักมากับหน้าร้อน

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูร้อน อีกทั้งอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง เหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย ที่นำมาสู่โรคติดต่อสำคัญที่มักเกิดในฤดูร้อน ซึ่งพบได้บ่อยทุกปีมี 6 โรค ได้แก่…โรคอุจจาระร่วง (Acute Diarrhea) การติดต่อโรคดังกล่าว เกิดจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่เชื้อมีปนเปื้อน เช่น อาหารที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารที่มีแมลงวันตอม หรืออาหารที่ทำไว้ล่วงหน้านาน ๆ อาการส่วนใหญ่ของผู้ป่วย มักถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำหรือมีมูกเลือดปน ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งการดูแลผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงในระยะแรก ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรืออาหารเหลวมาก ๆ อาทิ น้ำข้าว น้ำแกงจืด และดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ และถ้าอาการไม่ดีขึ้น ยังไม่หยุดถ่ายเหลว ให้รีบไปพบแพทย์

โรคอาหารเป็นพิษ (Food Poisoning) เป็นโรคทางเดินอาหารที่พบบ่อยมาก เนื่องจากสารพิษ (Toxin) จากแบคทีเรียตกค้างอยู่ในอาหารที่ไม่สะอาดพอ สุก ๆ ดิบ ๆ หรือบูดเสีย ทำให้เกิดปัญหาท้องเสียได้ สำหรับการรักษาส่วนใหญ่หากเป็นไม่มาก จะถ่ายเป็นน้ำไม่มีมูกเลือด ไม่มีไข้ หายได้เอง แต่ถ้าเป็นมากต้องได้รับน้ำเกลือเสริม อาจอยู่ในรูปแบบของการดื่ม หรือการให้ทางเส้นเลือดแล้วแต่ความรุนแรง

โรคบิด (Dysentery) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทาน เช่น การรับประทานอาหาร น้ำ ที่ปนเปื้อนเชื้อโรค อาหารดิบ ๆ สุก ๆ หรืออาหารที่มีแมลงวันตอม ดังนั้นไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ เพศไหน วัยใดก็สามารถเป็น โรคบิด ได้ทั้งนั้น โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดบิดในท้อง ต่อมาจะเริ่มไข้ขึ้น และถ่ายเหลว รวมถึงอาจปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งอาการท้องเดินเป็นบิด จะหายได้เองภายใน 5-7 วัน ในคนที่ไม่ได้ทานยา แต่บางรายก็อาจมีอาการกลับมาใหม่ได้อีก

ไทฟอยด์ (Typhoid) การติดต่อมักเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อในอาหารหรือน้ำดื่ม ซึ่งไข้ไทฟอยด์จะมีอาการแบบเฉียบพลัน รายที่เป็นรุนแรงอาจเสียชีวิตได้ อาการของโรคจะมีไข้ ปวดเนื้อปวดตัว คลื่นไส้ หัวใจเต้นช้าลง (โดยทั่วไปแล้วเวลามีไข้จะเต้นเร็วขึ้น) หากให้แพทย์ตรวจอาจพบว่าม้ามโต บริเวณใต้ชายโครงด้านซ้าย ต้องใช้การตรวจเลือดยืนยันว่าเป็นโรคนี้จริง ส่วนการป้องกันสามารถทำได้โดยการใช้วัคซีน ซึ่งมีทั้งในรูปของการรับประทานหรือฉีด แต่การป้องกันไม่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการระมัดระวังเรื่องอาหารและน้ำดื่ม

อหิวาตกโรค (Cholera) โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้ออหิวาต์ จะไม่มีอาการหรือมีไม่มาก แต่ในรายที่ติดเชื้อรุนแรง อาจเสียชีวิตได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดอาการ เนื่องจากมีการสูญเสียของน้ำและเกลือแร่ในปริมาณมาก โรคนี้ติดต่อได้โดยการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อเข้าไป การรักษาควรทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป กับการถ่ายอุจจาระและการอาเจียน เช่น ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเกลือ แต่หากรุนแรงต้องให้ทางเส้นเลือด ควบคู่กับการใช้ยาปฏิชีวนะ  สาระน่ารู้ สุขภาพ